ลักษณะทั่วไปของธุรกิจรถเช่า
ลักษณะทั่วไปของการประกอบกิจการธุรกิจรถเช่า จำแนกได้เป็น 2 ประเภทคือ
1. การให้เช่ารถยนต์เพื่อการดำเนินงาน (Operating Lease) เป็นการให้เช่าที่ทำเป็นสัญญาเช่าให้สิทธิลูกค้าใช้รถยนต์เป็นระยะนับปี โดยลูกค้าจะจ่ายค่าเช่าเป็นรายเดือนและรับผิดชอบในส่วนของค่าน้ำมันที่ใช้ ส่วนผู้ให้เช่ารับผิดชอบในค่าบำรุงรักษา ค่าประกันภัย ตลอดจนค่าใช้จ่ายอื่น ๆ และเมื่อสิ้นสุดสัญญาเช่าแล้ว ผู้ให้เช่าสามารถนำทรัพย์สินดังกล่าวออกให้ผู้อื่นเช่าได้อีก กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทเอกชน หน่วยงานราชการ และรัฐวิสาหกิจ
2. การให้เช่ารถยนต์ชั่วคราวระยะสั้น (Rental) เป็นการให้เช่าที่ให้สิทธิลูกค้าเลือกที่จะใช้บริการเป็นรายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน โดยมีรถยนต์ให้เลือกใช้งานหลายประเภททั้งรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถตู้และรถปิคอัพที่มีให้เลือกหลายรุ่นหลายขนาด พร้อมทั้งให้บริการคนขับหรือเลือกขับเองก็ได้
ปัจจุบันมีผู้ประกอบการรถเช่าประมาณ 180 ราย ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการขนาดเล็กที่ให้บริการเช่ารถยนต์ชั่วคราวเป็นราย วัน รายสัปดาห์ และรายเดือน ขณะที่ผู้ประกอบการรายใหญ่จะให้เช่าเพื่อการดำเนินงาน
ธุรกิจรถเช่า : ประโยชน์หลากหลายที่ลูกค้าจะได้รับ
จาก ภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวลงจากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ มากขึ้น อาทิ อัตราดอกเบี้ย ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และอัตราเงินเฟ้อที่ปรับสูงขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการภาคเอกชน หน่วยงานราชการ และรัฐวิสาหกิจหันมาใช้บริการเช่ารถยนต์เพื่อการดำเนินงาน (Operating Lease) มากขึ้น ทดแทนการซื้อรถยนต์มาใช้งาน ซึ่งผู้เช่าจะได้รับประโยชน์จากบริการ ดังนี้
1.ลดภาระทางการเงิน ซึ่งไม่ต้องลงทุนจ่ายเงินก้อนใหญ่เพื่อซื้อรถยนต์
2.ค่าเช่ารถยนต์ถือเป็นค่าใช้จ่ายขององค์กร สามารถนำไปลงรายการในบัญชีค่าใช้จ่ายได้
3.มี บริการซ่อมบำรุงและตรวจเช็คสภาพรถยนต์ตามระยะทางตลอดอายุสัญญาการใช้งาน ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษารถยนต์ รวมทั้งยังช่วยลดภาระในด้านบุคลากรที่ต้องทำหน้าที่ในส่วนนี้ด้วย
4.ได้รับบริการที่สะดวกและคล่องตัวในกรณีรถเสียหรือเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งผู้ประกอบการรถเช่าจะมีพนักงานให้คำแนะนำพร้อมช่างฉุกเฉิน และรถซ่อมบำรุงเคลื่อนที่ออกให้ความช่วยเหลือ ขณะเดียวกันยังมีรถยนต์ให้บริการระหว่างการซ่อมบำรุงที่ใช้เวลามากกว่า 1 วันด้วย
ตลาดรถเช่า : เติบโตควบคู่กับการแข่งขันสูง
จาก ประโยชน์หลากหลายที่ได้กล่าวถึงในข้างต้น ทำให้การเช่ารถยนต์เพื่อดำเนินงานได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ มูลค่าตลาดรถเช่าจึงขยายตัวสูงกว่าร้อยละ 10 ต่อปี ในช่วง 4 – 5 ปีที่ผ่านมา และสำหรับในปี 2549 นี้ คาดว่าความต้องการรถเช่ายังคงเติบโตคิดเป็นมูลค่าตลาดรวม 10,500 ล้านบาท ขยายตัวจากปีก่อนร้อยละ 13.5 จำแนกเป็นการให้เช่ารถยนต์เพื่อการดำเนินงานคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 85 และการให้เช่ารถยนต์ชั่วคราวระยะสั้นร้อยละ 15 โดยมีผู้ประกอบการรายใหญ่ ได้แก่ บจก.เวิลด์คลาส เรนท์ อะคาร์ บมจ.กรุงไทยคาร์เร้นท์ แอนด์ลีส บจก.โอริกซ์ ออโต้ ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) บมจ.แจแปนเร้นท์ (ประเทศไทย) และบจก.โตโยต้า(พารา)รถเช่า เป็นต้น
ธุรกิจรถเช่าในปัจจุบันมีการ แข่งขันสูง ผู้ประกอบการรายใหม่สามารถเข้าสู่ธุรกิจได้ง่าย ประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายเปิดเสรีอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและโรงแรม ดังนั้นนักลงทุนและ Chain จาก
ต่างประเทศจึงสามารถเข้ามาลงทุนประกอบ กิจการมากขึ้น สำหรับกลยุทธ์ทางการตลาดที่ผู้ประกอบการรถเช่านำมาใช้เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่ง ทางการตลาด มีดังนี้
1. สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าด้วยบริการที่มีคุณภาพ ความสะดวก ความรวดเร็ว ตลอดจน
การให้ความสำคัญและความต่อเนื่องของการบริการ
2. ให้บริการที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าเฉพาะราย โดยจัดซื้อรถยนต์ตาม
ประเภท ยี่ห้อ รุ่น และติดตั้งอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ตามการเรียกร้อง
3. มีบริการหลังการให้เช่าครบวงจร เช่น การดูแลรักษารถยนต์ การจัดการซ่อมบำรุง บริการ
รถฉุกเฉิน บริการรถยนต์ทดแทน บริการพนักงานขับรถ และการประกันภัยรถยนต์ เป็นต้น
4. ให้ความสำคัญกับการบริหารต้นทุนในการจัดหารถยนต์ให้เช่า โดยสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
กับตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ ซึ่งจะทำให้ได้รับส่วนลดในการจัดซื้อรถยนต์ ค่าอะไหล่รถยนต์ และค่าเบี้ยประกันภัยรถยนต์
5. สร้างภาพลักษณ์ของกิจการผ่านสื่อโฆษณาต่าง ๆ เช่น แผ่นพับ นิตยสาร วิทยุ โทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต รวมถึงรายการส่งเสริมการขายและร่วมออกงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ท่องเที่ยว เช่น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
6. สร้างเครือข่ายศูนย์บริการให้เช่า และบริการหลังการเช่าครอบคลุมในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ
บทสรุป
ปัจจุบัน องค์กรธุรกิจภาคเอกชน หน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจต่างหันมาใช้บริการรถเช่าในการการดำเนินงานมากขึ้น เพื่อลดความยุ่งยากและลดต้นทุนในการบริหารรถยนต์ ขณะเดียวกันค่าเช่ายังสามารถนำไปบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อประโยชน์ในการ ชำระภาษีประจำปีได้ด้วย อย่างไรก็ตาม ธุรกิจนี้จะเติบโตได้ก็ต่อเมื่อผู้ประกอบการจะต้องมีความพร้อมในด้านการ บริการด้วยความเอาใจใส่ ทีมงานที่มีประสิทธิภาพ ศูนย์บริการครอบคลุมทั่วประเทศ และจำนวนรถสำรองเพื่อทดแทนระหว่างการซ่อมบำรุง เพื่อทำให้ผู้เช่าเกิดความเชื่อมั่นที่จะใช้บริการต่อไป
(ที่มา: นสพ.ผู้จัดการรายวัน)
อีเมล์ carrent@krungthai.co.th
เว็บไซต์ : http://www.krungthai.co.th
โทรศัพท์ สาขาพระราม 3
022918888 ต่อ 130-133, สาขาอโศก 022460089
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น